อุตสาหกรรม ‘รื้อใหญ่’ ยกเครื่อง มอก.ออกกฎหมาย ‘สกัดทุนสีเทา’

11 มิถุนายน 2568
อุตสาหกรรม ‘รื้อใหญ่’ ยกเครื่อง มอก.ออกกฎหมาย ‘สกัดทุนสีเทา’
  • สถานการณ์ภาคการผลิตไทยน่าเป็นห่วง แม้มูลค่าส่งออกจะสูง แต่กำลังการผลิตในประเทศยังต่ำ ทำให้ GDP โดยรวมไม่เติบโตตามที่ควร สาเหตุหลักมาจากอุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ และสินค้าไม่ได้มาตรฐาน
  • การดัดแปลงโกดังเป็นโรงงานโดยไม่มีใบอนุญาต หรือใบรับรอง มอก. ปัญหาเหล่านี้เกิดจาก "ทุนจีนสีเทา" ที่ได้รับการสนับสนุนจาก "ทุนไทยสีเทา" และระบบราชการที่ไม่โปร่งใส 
  • เตรียมออกกฎกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อระงับการอนุญาตโรงงานคัดแยก/ฝังกลบสิ่งปฏิกูล (ประเภท 105) และโรงงานรีไซเคิล (ประเภท 106) เพื่อป้องกันการลักลอบนำเข้าของเสียอุตสาหกรรม

ภาคอุตสาหกรรมไทยกำลังเผชิญปัจจัยท้าทายกับคลื่นความท้าทายที่บั่นทอนขีดความสามารถการแข่งขัน และบ่อนเซาะรากฐานเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะจากปัญหา “ทุนศูนย์เหรียญ” ที่เข้ามาดำเนินธุรกิจโดยไม่สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจในประเทศเท่าที่ควร ควบคู่ไปกับการไหลทะลักของสินค้านำเข้าที่มาทุ่มตลาดอย่างไม่เป็นธรรม 

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงสถานการณ์ภาคการผลิตอุตสาหกรรมไทยที่น่าเป็นห่วงกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า แม้มูลค่าการส่งออกไทยจะเติบโตดีแต่ไม่ได้สะท้อนกำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่อยู่ระดับต่ำ และทำให้ GDP อุตสาหกรรมและ GDP รวมไม่เติบโตตามที่ควรจะเป็น

สำหรับ "อุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ" และ "อุตสาหกรรมเถื่อนที่ไม่ได้มาตรฐาน” เป็นการผลิตที่เพิ่มขึ้นแต่ไม่สร้างประโยชน์ให้กับประเทศกำลังบ่อนเซาะทำลายรากฐานเศรษฐกิจของประเทศจึงทำให้กระทรวงอุตสาหกรรมเข้าไปจัดการ

โรงงานศูนย์เหรียญ” เป็นการผลิตในอุตสาหกรรมที่คนไทยผลิตได้แต่ไม่เกิดการผลิต โดยมีต้นเหตุมาจากนักลงทุน และการสนับสนุนของภาครัฐในอดีต ซึ่งมีตัวอย่างชัดเจนในอุตสาหกรรมเหล็กในปี 2558-2559 กระทรวงอุตสาหกรรมอนุญาตให้ลงทุนโรงงานเหล็กที่ใช้เทคโนโลยีเตาหลอมแบบ Induction Furnace (IF) ที่ผู้ผลิตเหล็กจีนขยายเข้ามาตั้งโรงงานในอาเซียน

ทั้งนี้ มีการอ้างเทคโนโลยีใหม่แต่ในทางปฏิบัติมีมาตรฐานต่ำกว่า และสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าเตาหลอมเหล็กแบบ Electric arc furnace (EF) ที่มีอยู่แล้วในไทย และจากผลการตรวจสอบบริษัทเหล็กที่ใช้เตา IF กว่า 11 บริษัทพบว่าตกคุณภาพหมด ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพสินค้ามาตรฐานความปลอดภัย และบิดเบือนโครงสร้างการแข่งขันในตลาด เพราะมีต้นทุนการผลิตถูกกว่า

“เหล็กเหล่านี้มีต้นทุนต่ำกว่า ทำให้ธุรกิจไทยเสียส่วนแบ่งการตลาดไป 50-60% อย่างกรณี ซินเคอหยวน ถูกสั่งปิดไปแล้วมีมูลค่าตลาดกว่าหมื่นล้านบาทต่อปี”

นอกจากนี้ ยังลามไปถึงอุตสาหกรรมอื่น เช่น ยาง สายไฟและผลิตภัณฑ์พลาสติก โดยลักลอบนำเข้าวัตถุดิบ เช่น ขยะพลาสติกที่แจ้งพิกัดเป็นเศษเหล็กเพื่อนำมาแปรรูป และขายแข่งกับธุรกิจไทย โดยไม่เสียภาษีสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจหมื่นล้านบาทต่อปี

รูปแบบการทำธุรกิจดังกล่าวจะสร้างซัพพลายเชนของตัวเอง ซึ่งทำให้โรงงานเหล็กดังกล่าวใช้วัตถุดิบจากจีนเกือบทั้งหมด และจ้างแรงงานไทยเพียง 10% ของการจ้างงานรวม ซึ่งพบมาในการตั้งโรงงานผลิตเหล็กเส้นที่หาช่องทางผ่านการรับรองมาตรฐานต่างๆ เพื่อให้ตั้งโรงงาน และจำหน่ายสินค้าได้

ทั้งนี้ เมื่อเข้าไปตรวจสอบพบข้อบกพร่อง เช่น การปรับโกดังเป็นโรงงานแต่ไม่มีใบอนุญาตโรงงาน (รง.4) รวมถึงการได้ใบอนุญาตบางรายการที่มีปัญหา เช่น การที่โรงงานได้รับใบรับรองมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) แต่เป็นโรงงานยังไม่มี รง.4 

ดังนั้น จึงเห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจาก “ทุนจีนสีเทา” เพราะได้รับการสนับสนุนจาก “ทุนไทยสีเทา” และระบบราชการ ซึ่งปัญหาดังกล่าวพบมากในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมถึงสมุทรสาคร และปราจีนบุรีที่มีโรงงานมากแต่เป็นโรงงานเถื่อนไม่น้อย

สำหรับการแก้ปัญหาดังกล่าว กระทรวงอุตสาหกรรมใช้เครื่องมือที่มีอยู่ และสร้างเครื่องมือใหม่ขึ้นมากำกับดูแลภาคการผลิต แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ

1.เครื่องมือในการกำกับคุณภาพสินค้า โดยอยู่ระหว่างปรับแผนมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ด้วยการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) ขึ้นมาใหม่ และเร่งรัดให้ประชุมทุก 2 สัปดาห์ พร้อมทบทวนและยกเลิก มอก.ที่ไม่เหมาะสม เช่น มอก.การผลิตเหล็กเตา IF และแก้ไขกระบวนการชักตัวอย่างเหล็กเพื่อทดสอบตามมาตรฐาน มอก.

ทั้งนี้ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) จะเร่งออกมาตรฐานใหม่สำหรับสินค้าที่ยังไม่มีมาตรฐานควบคุม เช่น เหล็กโครงสร้างสำเร็จรูป ซึ่งปัจจุบันมีการนำเข้าเหล็กกลุ่มนี้เพื่อเลี่ยง มอก.แบบบังคับ โดยเมื่อนำสินค้าหลายชิ้นมาประกอบกันทำให้มีการอ้างเป็นสินค้าใหม่ที่ยังไม่มี มอก.ควบคุม

รวมทั้ง จะมีการออก มอก.ใหม่ครอบคลุมสินค้าสายไฟและเม็ดพลาสติก PP ที่มีสินค้าจีนไหลทะลักเข้าไทยจำนวนมาก

นอกจากนี้ จะปรับปรุง พ.ร.บ.มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เพื่อแก้ปัญหาช่องว่างการบังคับใช้กฎหมาย เช่น ข้อกำหนดการควบคุมมาตรฐานสินค้าที่กำหนดให้ สมอ.ต้องออกหนังสือเตือนถึง 7 ครั้ง จึงจะเพิกถอนใบอนุญาต มอก.ได้ ซึ่งช่องว่างดังกล่าวทำให้ผู้ผลิต และผู้จำหน่ายไม่กังวลการเพิกถอนใบอนุญาตเมื่อทำผิด

2. เครื่องมือในการกำกับดูแลด้านสิ่งแวดล้อม โดยใช้อำนาจตามกฎหมายที่มีอยู่ เช่น พ.ร.บ.วัตถุอันตราย ซึ่งเตรียมออกกฎกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อระงับการอนุญาตโรงงาน 2 ประเภท เพื่อป้องกันการลักลอบนำเข้าของเสียอุตสาหกรรม คือ 

โรงงานประเภท 105 ประกอบกิจการเกี่ยวกับการคัดแยกหรือฝังกลบสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว 

โรงงานประเภท 106 ประกอบกิจการเกี่ยวกับการนำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ไม่ใช้แล้วหรือของเสียจากโรงงานมาผลิตเป็นวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ใหม่โดยผ่านกรรมวิธีการผลิตทางอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ เร่งผลักดัน พ.ร.บ.จัดการกากอุตสาหกรรม ขณะนี้ผ่านการเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้เป็นกฎหมายประวัติศาสตร์ฉบับแรกของไทย ซึ่งจะปิดบ้านจัดการธุรกิจสีเทาออกจากระบบ มุ่งสู่ Circular Economy หรือเศรษฐกิจหมุนเวียน สร้างมูลค่าจากของเสีย และของใช้แล้ว 

"จะจัดการให้โรงงานศูนย์เหรียญหมดไป ผมไม่หยุดจนกว่าจะสุดซอย โดยจะจัดการกับทุนเทาที่ทำผิดกฎหมายไทยอย่างเด็ดขาด เพราะถ้าทุนเทาทุนดำเกิด ทุนดีทุนขาวก็เกิดไม่ได้”

ดึง BOI กระทรวงพาณิชย์ ร่วมแก้ปัญหา

ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมมีฟังก์ชันที่กระจัดกระจายจึงต้องทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่น เช่น กระทรวงการคลังสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เพื่อผนึกกำลังพัฒนาอุตสาหกรรมให้แข็งแกร่ง โดยจะทำงานร่วมกับกระทรวงอื่น และนำเสนอนายกรัฐมนตรีรับทราบอย่างสม่ำเสมอ

“แผนปฏิรูปนี้จะรวมถึงการทบทวนกฎหมายว่าด้วยทุนต่างด้าวในภาคการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ เพื่อล็อกต้นน้ำ และปลายน้ำของห่วงโซ่อุปทาน สนับสนุน Local Content ในภาคการผลิตของไทย เพื่อให้ GDP และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ดีขึ้นอย่างแท้จริง”

นายเอกนัฏ กล่าวว่า สิ่งที่หลายคนไม่เห็นคือ ระบบหลังบ้านที่ต้องจัดการเหล่านี้เยอะมาก ตนได้ปรับแต่ง และจัดระบบออกกฎหมายใหม่ทุกตัวของกระทรวงอุตฯ ซึ่งกำลังจะออกใหม่ทั้งหมด ขณะนี้มีทั้งที่ประกาศออกมาใช้ใหม่กับอยู่ระหว่างเตรียมนำเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยรวมอยู่ประมาณ 60-70%

“ผมแข่งกับเวลา ต้องทำให้สำเร็จ เพราะการแข่งขันสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความมุ่งมั่นว่านี่คือ โอกาสสำคัญที่จะพลิกฟื้นระบบอุตสาหกรรมไทยให้ไปได้จริง ไม่ใช่สวยแต่รูปจูบไม่หอม ดังนั้น หากทุกฝ่ายร่วมมือกันต้องสำเร็จแน่นอน ซึ่งเห็นแสงสว่างในปลายอุโมงค์แล้ว

ผนึกอาเซียนยกระดับ “Made in Thailand”

นายเอกนัฏ กล่าวว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ให้สัญญาณชัดเจนในการเอาจริงเอาจังกับการจัดการสินค้าไหลทะลักราคาถูกจากต่างประเทศ ทั้งการดั๊มพ์ตลาด และการลักลอบนำเข้าผ่านระบบออนไลน์ โดยกระทรวงอุตสาหกรรม จะเร่งออกมาตรฐานบังคับเพื่อให้สินค้าที่เข้ามาแข่งขันบนมาตรฐานเดียวกันกับสินค้าไทย

นอกจากนี้ ไทยจะต้องร่วมมือกับประเทศในภูมิภาคอาเซียนเพื่อรักษาคุณภาพ และมาตรฐานสินค้า โดยจะตีกลับสินค้าโอเวอร์ซัพพลายที่ถูกผลักภาระเข้ามาในตลาด และสร้างความเป็นธรรมในการค้า และมั่นใจว่าหากออกมาตรฐานตามแผนได้ภายในไม่กี่เดือนนี้ จะทำให้การแข่งขันเป็นธรรม และสามารถยันให้ของที่ดั๊มพ์มาตลาดเรากลับไปลดซัพพลายในบ้านเขาได้

“สำหรับอนาคตไทยต้องอัปเกรดภาคอุตสาหกรรมผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ รักษาชื่อแบรนด์ Made in Thailand ให้เป็นที่ต้องการของโลก ด้วยกระบวนการผลิตที่ยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจของประเทศ”


แหล่งที่มา : กรุงเทพธุรกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.